เขาเคยปฏิเสธจะส่ง “หญิงสาว” ที่สะพานลอย เขาต้องการจอดส่งเธอเพียงแค่จุดนี้ เนื่องจากต้องการขึ้นสะพานกลับรถเพื่อไปหาลูกค้าคนอื่นต่อ จำได้ว่า “หญิงสาว” พยายามอ้อนวอนให้เขาเลยไปส่งเธอหน่อย แต่เขาปฏิเสธ คงเพราะวันนั้นเขาหงุดหงิด รถก็ติด ผู้โดยสารหลายคนก็เรื่องมาก เขากำลังทำรอบต้องการวิ่งรถเยอะๆ จะเอาเงินไปซื้อของขวัญวันเกิดให้ “ลูกสาว”
“พี่ค่ะ...แค่ไปส่งหนูตรงสะพานลอย อีก 2 สะพานเท่านั้นเอง ป้ายรถเมล์ตรงนี้หนูกลัว พูดตรงๆ เลย มีข่าวโดนจี้กันบ่อย” ผู้โดยสารสาวอ้อนวอนโชเฟอร์แท็กซี่
วันนั้นเขาปฏิเสธใจดำอย่างยิ่ง “ผมไม่อยากไปกลับรถไกล จะกลับตรงนี้แหละ ถ้าไปถึงตรงที่คุณบอก ผมไม่ไปนะ จะลงตรงนี้ หรือลงตอนผมกลับรถไปฝั่งตรงข้าม ยังไม่ดึกพึ่งจะทุ่มกลัวอะไร” เขาพูดกับผู้โดยสารอย่างเย็นชา
หล่อนอ้อนวอนสักพัก ก็รู้สึกสิ้นหวัง ยอมลงตรงนั้น เขาขับออกไปเห็นเธอยืนมองไฟท้ายรถแท็กซี่ของเขา ดวงตาเหม่อลอย แววตานั้นทำให้เขาสะท้านได้เหมือนกัน ทำไมเขาไม่ไปส่งเธอตามที่ตกลงกันไว้ ทำไมเธอยังจ่ายเงินเขาอยู่...
“หากสมัยนั้นมีการถ่ายรูปมือถือฟ้องร้องในอินเทอร์เน็ต กรมขนส่งฯ รับร้องเรียน ผมโดนไปแล้ว...”
จำได้ว่าหลังจากนั้นเขาอ่านหนังสือพิมพ์ เห็นลงข่าว “หญิงสาว” ถูกโจรจี้ชิงทรัพย์แล้วพยายามสู้ จึงถูกฆ่าปาดคอทิ้งศพไว้บริเวณป้ายรถเมล์ที่เขาเคยปล่อย “หญิงสาว” ลงจากรถวันนั้น ซึ่งเป็นวันเดียวกับวันที่เกิดเหตุ เขาอ่านอย่างตื่นตกใจ โชคดีที่ข่าวเขียนว่า “หญิงสาว” เคราะห์ร้ายคนดังกล่าวอายุ 40 ปี แก่กว่า “หญิงสาว” ที่โดนเขาทิ้งให้ลงจากรถแน่นอน...!!
“ตั้งแต่อ่านข่าววันนั้น ผมก็เปลี่ยนใจเลย สาบานว่าต่อไปจะรับส่งผู้โดยสารตลอด เขาจ่ายเงินเราไม่ใช่วิ่งฟรี เราทำงานด้วยอาชีพสุจริต ไม่ได้ขอใครกิน ต้องทำงานด้วยความภาคภูมิใจ ทำงานอย่างเต็มที่ ถ้าก๊าซมันเหลือน้อย ผมปิดไฟตรงคำว่า “ว่าง” เลย อย่างน้อยส่งเขาให้ถึงที่ มันสบายใจกว่าทิ้งเขาแบบนี้ กรุงเทพฯ มันอันตรายจริง ๆ” โชเฟอร์กล่าว
“ดีครับ...” ชายหนุ่มที่นั่งเบาะหลังพูด “ผมเบื่อแท็กซี่ประเภทส่งรถ ไม่ไปบ้าง ผมเคยเจอให้ไปส่ง ทำนิ้วชี้ไปข้างหลัง ไอ้สัตว์!! ผมขอนั่งไปกับมันหรือไง เงินก็จ่าย ขออภัยด้วย...ที่พูดหยาบ”
“ไม่เป็นไรครับ...ผมเข้าใจ หลายคนมาหากินทำงานเป็นคนขับแท็กซี่ แต่ดันทำอาชีพเขาเสีย ทุกวันนี้ผมพยายามเล่นมือถือนะ ให้ทันตามโลก ที่ผ่านมาผมศึกษาทางในกรุงเทพฯ จากแผนที่บ้าง จากการขับรถบ้าง ทางลัด ทางอะไร ผมศึกษาหมด รถติดเส้นนี้ ผมออกอีกซอย เข้าซอยนี้ออกซอยนู่น จำได้เลยว่า ไปส่งเสร็จ ผู้โดยสารถึงขั้นปรบมือ บอกพี่แม่งสุดยอดเลย ถ้ามีคนแบบพี่สักสิบคนนะ แท็กซี่คงไม่โดนด่าขนาดนี้หรอก”
“โชเฟอร์แท็กซี่” อย่างเขา เคยโกงเงินฝรั่ง ปิดมิเตอร์ เขาเคยไม่ไปส่ง อ้างส่งรถ ก๊าซหมด ทำทุกอย่างที่คนด่าแท็กซี่ในอินเทอร์เน็ต เขาทำทุกอย่าง “ทำแล้วมันไม่ได้อะไรขึ้นมา บางครั้งคนขอไปส่งช่วงรถติด ผมก็ไป แนะนำว่าถ้าติดมาก คุณนั่งพวกรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน วินมอเตอร์ไซค์ไปก่อนก็ได้ แต่ถ้าอยากไปกับผม ก็จะไปส่งให้ รถติดผมไม่กลัวหรอก ไม่ได้ไปฟรีนี่ อย่าไปโลภมาก ทำงานบริการ ต้องซื่อสัตย์ต่อลูกค้าและตัวเอง เอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่ใช่เอาใจเราคิดแทนใจเขาทั้งหมด”
ใกล้จะถึงวันเกิด “ลูกสาว” คนเล็กของเขาอีกแล้ว เขาพยายามวิ่งรถให้มากขึ้น เพื่อหาเงินไปซื้อของขวัญให้ลูก ใกล้วันเกิดลูกทีไร เขาคิดถึง “หญิงสาว” ที่เขาเคยทิ้งไว้ที่ป้ายรถเมล์วันนั้น หากเธอเป็นลูกเขาแล้วโดนแบบนั้นบ้างล่ะ คนเป็นพ่อเป็นแม่ของ “หญิงสาว” คนนั้นจะพูดถึงเขาอย่างไร
วันนี้เขากำลังจะกลับบ้าน เกือบตี 1 แล้ว เจอผู้โดยสาร 2 คน ชายทั้งคู่ แต่งกายเรียบร้อย เขากำลังจะปิดไฟคำว่า “ว่าง” ออก แต่เห็นชายสองคนยืนบนฟุตบาท เปลี่ยวทั้งรถและคน จึงตัดสินใจรับ ชายคนหนึ่งนั่งเบาะหลัง อีกคนขึ้นมานั่งข้างเขา ทั้งสองบอกว่า “ให้ไปส่งในซอยหน่อยครับ” เขาขับรถเข้ามาในซอย อยู่ๆ ดีก็อยากเล่าเรื่องความหลังและการทำงานในอาชีพให้ทั้งสองฟัง
“จอดตรงนี้แหละครับ” ชายที่นั่งเบาะหลังกล่าว เขาเบรกรถ มองไปรอบๆ มีบ้านคนตั้งเรียงราย ไฟปิดมืด ทันใดต้องสะดุ้ง!! มือข้างหนึ่งเอื้อมมือจับจมูกและปิดปากเขาในทันที มีดแหลมคมวาวจ่อเข้าที่คอหอยเขาอย่างฉับพลัน เขาเหลือบมองกระจกหลัง เห็นเป็นชายที่นั่งเบาะหลัง ขณะที่ชายซึ่งนั่งข้างๆ หันมามองเขา “ขอโทษนะพี่ แต่ผมจำต้องทำ”
ว่าแล้วคมมีดก็ฉีกกระชากผิวหนังตรงลำคอของเขา มีดคมเหมือนเหล็กกล้า มันกรีดเฉือนพร้อมกับเลือดที่พุ่งออกมา เขาพยายามแหกปากร้อง แต่ไม่มีเสียงใดหลุดออกมา มือของคนร้ายหลุดจากการปิดปากแล้ว บัดนี้เป็นมือเขาต่างหากที่จับลำคอตัวเอง เลือดไหลซึมออกมา...
“ระวังเลือดไหลเปื้อนเบาะ” ชายที่นั่งข้างพูด ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถฝั่งคนขับ ปลดล็อก เปิดประตูออก แล้วถีบ “โชเฟอร์แท็กซี่” ลงจากรถ อีกฝ่ายยังไม่ยอมลงพยายามยื้อรถของตัวเองไว้ จนชายนั่งเบาะหลัง ต้องเปิดประตูไปลากเขาลงจากรถ พร้อมกับถีบเตะเข้าที่ลำตัวหลายที
“คิดเสียว่ามันเป็นบาปกรรมนะพี่ พวกผมรับคำสั่งทำมาอีกที คิดเสียว่าเป็นกรรมที่พี่เคยทิ้งผู้โดยสารไว้” ว่าแล้วชายหนุ่มทั้งสองก็ขึ้นรถแล้วขับออกไป ทิ้ง “โชเฟอร์แท็กซี่” ที่พยายามเปล่งเสียงตะโกนช่วยด้วยออกมา แต่ไม่มีเสียง คมมีดฉีกกระชากหลอดลมและหลอดเสียง เขาดิ้นทุรนทุรายอยู่ตรงนั้น ตาเหลือก ร่างสั่นไปทั่ว เลือดไหลอาบท่วมมือนองกับพื้น
สติกำลังจะขาดหาย นึกถึงวันเกิด “ลูกสาว” นึกถึงของขวัญวันเกิดลูกที่เตรียมจะซื้อให้ นึกถึง “หญิงสาว” ที่เคยถูกเขาทิ้ง บัดนี้หล่อนปรากฏกายแล้วเดินมาตรงหน้าเขา “ทำไมพี่ไม่ส่งหนูวันนั้นค่ะ หนังสือพิมพ์ลงผิด หนูต่างหากคือคนที่ตาย เขาลงอายุผิด หนูตายเพราะวันนั้นพี่ทิ้งหนูไง จำไว้นะหนูตาย!! เพราะพี่ทิ้งหนู!!”
เขาอยากเปล่งเสียง “ขอโทษ” แต่ไม่มีเสียงใดหลุดออกมา พร้อมกับสติที่หลุดลอย เขากำลังจะจากโลกนี้ไป ไม่นานลมหายใจขาดห้วง ติดขัด หัวใจเต้นช้าลง สมองไร้ซึ่งสิ่งใดตอบสนอง นานหลายนานกว่าเจ้าหน้าที่มูลนิธิจะมา หลายนานกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝูงนักข่าวจะมา เขาก็กลายเป็นอีกศพที่ถูกสันนิษฐานว่า “ถูกจี้ชิงรถแท็กซี่” ไปชำแหละอะไหล่ขายส่งประเทศเพื่อนบ้าน เป็นอีกศพที่จากไป เป็นกระแสไม่นานก็เงียบหายดับสลายไปเหมือนลมหายใจของเขานี่เอง...
มันเป็น “กรรม” ของใคร หรือมันเป็นการแสดงสภาพสังคมอันเฮงซวยที่ทุกคนดิ้นรนมีชีวิตจนยอมแม้กระทั่งฆ่าคนเพื่อจะได้มีชีวิตที่ดีกว่า...มันเป็น “กรรมของคน”...หรือ “กรรมของสังคม” กันแน่...
…..................................
คอลัมน์ : หนอนโรงพัก
โดย “ณัฐกมล ไชยสุวรรณ”
ที่มา http://www.dailynews.co.th/article/507088
0 Comment "ดิ้นรนต่อสู้ชีวิตจนต้องฆ่ากัน กรรมของ'คน'หรือ'สังคม'?"